"The life of the dead is placed in the memory of the living."
“ชีวิตของคนที่ตายจากไปแล้วฝังอยู่ในความทรงจำของคนที่ยังมีชีวิตอยู่เสมอ”
-Marcus Tullius Cicero-
ในเม็กซิโก วันฮาโลวีนถูกเรียกในภาษาสเปนว่า “El
Dia de los Muertos” หรือ ‘Day of the Dead’วันแห่งความตาย
เทศกาลจะเริ่มต้นในช่วงเย็นของวันที่ 31 ตุลาคมและสิ้นสุดในวันที่
2 พฤศจิกายน กิจกรรมในเทศกาลนี้ได้แก่
การไปที่หลุมฝังศพของคนที่เค้ารัก,ไปปิกนิกและงานเฉลิมฉลองต่างๆ
เชื่อกันว่าวิญญาณผู้ตายจะกลับไปบ้านของตัวเองในคืนวันฮาโลวีน ดังนั้นคนในบ้านจะตกแต่งแท่นบูชาด้วยลูกอม,ดอกไม้,น้ำ,รูปถ่ายและอาหารที่ผู้ตายชื่นชอบในวันที่
2 พฤศจิกายน
ครอบครัวจะไปปิกนิกที่หลุมฝังศพของคนที่พวกเขารักและทำความสะอาดหลุมฝังศพสำหรับเทศกาลนี้ชาวเม็กซิกันจะรำลึกและแสดงความอาลัยถึงคนรักที่ได้ล่วงลับไปแล้วไม่ว่าจะเป็นคนในครอบครัว
เพื่อน หรือว่าคู่ชีวิตหลายๆคนอาจจะคิดว่าถ้าพูดถึงเรื่องความตาย
เทศกาลนี้จะต้องโศกเศร้าและหม่นหมองแต่จริงๆแล้วนั้นมันกลับกลายเป็นเทศกาลที่สดใสและเต็มไปด้วยความชื่นใจด้วยซ้ำเป็นโอกาสดีที่คนที่ยังมีชีวิตอยู่จะได้นึกถึงคนรักที่ได้จากไปแล้วด้วยวิธีการและกิจกรรมต่างๆ
ที่เกิดขึ้นภายในงานซึ่งเทศกาลนี้ได้ส่งต่อกันมาเป็นเวลานานมากแล้วด้วยและมีความเชื่อกันว่าในคืนวันที่
31ตุลาคม
ประตูแห่งสวรรค์จะเปิดตอนเวลาเที่ยงคืนเพื่อให้วิญญาณของผู้ที่ล่วงลับไปแล้วกลับคืนมาอยู่กับคนรักของพวกเขา
เทศกาลนี้เรียกได้ว่าเป็นวันแห่งการพบปะสังสรรค์
เพราะผู้คนจะมารวมตัวกันที่ถนนและจตุรัสสาธารณะตั้งแต่เช้าจรดค่ำ
พร้อมกับแต่งตัวแฟนซีเป็นร่างโครงกระดูกหลากหลายสไตล์
บางคนก็ถึงกับลงทุนเพ้นท์ใบหน้าตัวเองเป็นหัวกระโหลกเลยด้วย
หรือผู้หญิงส่วนใหญ่ก็จะแต่งหน้าล้อเลียนภาพวาดเม็กซิกันที่มีชื่อว่า La
Calavera Catrina อีกทั้งยังเพิ่มความสนุกสนานด้วยการที่มีแตรไว้คอยเป่าส่งเสียงระทึกกึกก้องด้วย นอกจากนี้ยังมีการเดินขบวนของประชาชนที่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าและขนนกคล้ายกับอินเดียแดง
และมีการเขียนหน้าหรือใส่หน้ากากรูปแบบต่างๆ โดยการจัดงานของชาวเม็กซิกัน
จะมีการแต่งตัว แต่งหน้า ที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับงานแฟชั่นต่างๆ มากมายทั่วเทศกาล
Day of the Dead สัญลักษณ์คือ หัวกะโหลก และต้นมาริโกลด์
ซึ่งชาวเม็กซิโกจะนิยมแต่งตัวชุดที่มีการประดับตกแต่ง
ด้วยสัญลักษณ์หัวกะโหลกซูการ์ สกัล (Sugar skull) อีกทั้งดอกไม้ประดับต่างๆ
ริบบิ้น ผ้าหลากสี และวัสดุอื่นๆ ที่จะช่วยแสดงถึงความรัก ความอ่อนโยน ได้มากขึ้น
และในสมัยก่อน ส่วนใหญ่แล้วเมื่อคนในครอบครัวได้เสียชีวิตลง
พวกเขาเหล่านั้นจะถูกฝังอยู่บริเวณใกล้ๆ กับตัวบ้าน ซึ่งเป็นความหมายนัยๆ
ว่าพวกเขาจะยังคงอยู่ใกล้ๆ ญาติสนิทเสมอถึงแม้ว่าจะตายจากไปแล้ว
แต่ในปัจจุบันร่างของคนตายจะถูกฝังอยู่ที่สุสานที่อยู่ห่างไกลจากตัวบ้านเสียมากกว่า
บางชุมชนก็จะมาใช้เวลาร่วมกันที่หลุมศพเพื่อสังสรรค์ ทานอาหาร
เล่นดนตรีและนั่งคุยกันตลอดทั้งคืน
0 ความคิดเห็น